pianoamulet.com=> พระเครื่อง ข้อมูลพระเครื่อง ประวัติพระเครื่อง


พระเครื่อง ข้อมูลพระเครื่อง ประวัติพระเครื่อง

ประวัติ พระกรุในตำนาน " พระยอดขุนพลบุเรงนอง "

ประวัติ พระกรุในตำนาน " พระยอดขุนพลบุเรงนอง "


ประวัติ พระกรุในตำนาน " พระยอดขุนพลบุเรงนอง "

ประเภท : พระเครื่อง ข้อมูลพระเครื่อง ประวัติพระเครื่อง

รายละเอียด

เปิดตำนาน ขานเล่า พระกรุในตำนาน " พระยอดขุนพลบุเรงนอง " กษัตริย์หงสาวดี สั่งสร้าง มอบข้าราชบริพาร ขุนทหาร สร้างขวัญกำลังใจ

เมื่อกล่าวถึง ผู้ชนะสิบทิศ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชื่อของ บุเรงนอง หรือ จะเด็ด จะไม่ลอยขึ้นมาในความคิด ความทรงจำ ที่เราๆ ท่าน ๆ มีติดหัว ติดตัวกัน เพราะเป็นชื่อ หนังสือปลอมพงศาวดารประเทศเพื่อนบ้าน ของ ยาขอบ กับ ชื่อบุคคลจริง ในประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรอยุธยา เกี่ยวข้องกับ พระนเรศวรมหาราช  ในขณะเดียวกัน นามของ บุเรงนอง นั้น ยังปรากฏ อยู่ในแวดวง พระเครื่อง  ชนิดที่ว่า หากใครไม่ได้มีความนิยม หรือ ไม่คุ้นเคยกับ วัตถุมงคล จะไม่เคยได้ยินชื่อ พระยอดขุนพลบุเรงนอง อย่างแน่นอน
จุดกำเนิดเริ่มต้นตำนาน ที่มาที่ไป ของ พระกรุ นี้ เริ่มต้นจาก การเปิดเผยของ หลวงพ่ออุตตมะ แห่ง วัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี โดยท่านได้เคยอ่านพบใน " ตำราโบราณ " ที่อดีตโบราณคณาจารย์ฝ่ายพม่ารามัญ ได้จดบันทึกไว้สืบต่อกันมานานนับเป็นร้อย ๆ ปี มีการระบุถึง การสร้าง วัตถุมงคล ของ จอมกษตริย์แห่งหงสาวดี 
จากข้อมูล ตามคำบอกกล่าว ของ หลวงพ่ออุตตมะ ระบุไว้ว่า  พระยอดขุนพลบุเรงนอง ของเก่าแก่ดั้งเดิมนั้น เป็นพระพิมพ์ดินดิบผสมว่านยาวิเศษ โดยได้จำลองพุทธลักษณะจาก "พระมหามัยมุนี " ซึ่งในอดีตนั้น เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของ ยะไข่ ก่อนที่เป็นพระเครื่องที่ พระเจ้าบุเรงนอง ได้โปรดให้ พระมหาฤาษี ภูภูอ่อง ผู้เป็นพระราชครูผู้ใหญ่ ประจำพระราชสำนัก ซึ่งได้สำเร็จมหิทธิฤทธิ์ขั้นสุดยอดด้วยองค์คุณ 4 ประการ คือ ยา ยันต์ ปรอท และ ประคำ จนมีฤทธิ์ มีเดชสูงส่งอย่างยิ่งยวด

เป็นผู้จัดสร้างและปลุกเสกขึ้น เพื่อทรงพระราชทานแก่ข้าราชบริพาร และเหล่าทหารหาญ เพื่อใช้ในการศึกสงครามโดยทั่วไป โดยแกะพิมพ์จำลองพุทธลักษณะของ พระมหามัยมุนี พระพุทธรูปสำคัญ อันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของชาวพม่า ที่มีอายุการสร้างเกือบ 2,000 ปี ที่เดิมประดิษฐานอยู่ที่เมือง ยะไข่ แต่ต่อมาได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่ เมืองมัณฑเลย์ ภายหลังการเข้าโจมตียึด ยะไข่ ในสมัยพระเจ้าโบดอพญา หรือ พระเจ้าปดุง พระมหากษัตริย์ องค์ที่ 5 ของราชวงศ์อลองพญา  จนถึงปัจจุบัน
มีความเชื่อกันว่า พระยอดขุนพลบุเรงนอง นี้ มีพุทธคุณอันยอดเยี่ยมดีเด่นในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในทางเมตตา แคล้วคลาด แต่จะเน้นไปในด้าน อิทธิฤทธิ์  คือทางด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี มหาอุด มหาอำนาจ เป็นหลักใหญ่ จนกระทั่งกองทัพของ พระเจ้าบุเรงนอง สามารถปราบปรามหัวเมืองใหญ่น้อยในทุกหนแห่ง จนราบคาบอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในพงศาวดาร ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุให้พระเจ้าบุเรงนองได้รับพระสมัญญานามอีกพระนามหนึ่งว่า " ผู้ชนะสิบทิศ "
ในเวลาต่อมา โดย พระยอดขุนพลบุเรงนอง นี้ พระมหาฤาษีภูภูอ่อง ได้บรรจุไว้ที่ถ้ำแถวเมือง มะละแหม่ง ใกล้ชายแดนไทย-พม่า อยู่ 2 ถ้ำด้วยกัน คือ ถ้ำผาบง และ ถ้ำผาพะ แต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าถ้ำทั้งสองแห่งนี้อยู่ที่ไหนกันแน่ พระมหาฤาษีภูภูอ่อง นั้น แต่เดิมเคยบวชเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา มีนามว่า "ญาณรังสี" แต่ต่อมาพระญาณรังสีพิจารณาเห็นว่าการที่พระภิกษุอยู่ในป่า บางครั้งก็มีเหตุให้จำต้องล่วงอาบัติของพระพุทธองค์อยู่เนือง ๆ ก็ให้รู้สึกไม่สะดวกใจ ด้วยเกรงจะเป็นบาปเป็นกรรม พระญาณรังสีจึงลาสิกขาออกมาถือพรตเป็นฤาษี พร้อมตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ รักษาศีล 8 ได้เป็นอย่างดีจนบรรลุอภิญญาสมาบัติ
ส่วนการที่ พระยอดขุนพลบุเรงนอง ได้ออกปรากฏต่อวงการนักสะสม พระเครื่อง นั้น เพราะความเมตตาของ หลวงพ่ออุตตมะ นั่นเอง ด้วยว่า ท่านนั้น ได้ช่วยชีวิตเด็กน้อยชาวกะเหรี่ยงไว้ ซึ่งได้ป่วยเป็นโรคร้าย จนเพื่อนบ้านต่างพากันทอดทิ้ง ไม่มีใครกล้ามาดูแล และบังเอิญท่านได้ธุดงค์มาพบเข้า ด้วยความเมตตาหลวงพ่อจึงได้ช่วยรักษาจนหาย ทำให้เด็กชายคนนี้นับถือหลวงพ่ออุตตมะเป็นอย่างยิ่ง ต่อมา เด็กชายคนนั้น ได้กลายเป็นหัวหน้ากะเหรี่ยงคริสต์
ได้มาเล่าให้ หลวงพ่ออุตตมะ ฟังว่า ตอนนั้นหลวงพ่อมาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ ราวปี พ.ศ.2490 โดยประมาณ ข้อมูลจากคำบอกเล่านั้น กล่าวไว้ว่า วันหนึ่งขณะที่พวกตนถูกพวกพม่าตามไล่ล่า จนกระทั่งหนีเข้าไปหลบซ่อนในถ้ำ ๆ หนึ่ง แถวเมืองมะละแหม่ง พวกทหารพม่าได้ใช้ปืนกล และอาวุธสงครามยิงกรอกปากถ้ำ เพื่อฆ่าพวกตนให้ตายคาถ้ำ นับเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ นัด จนพวกทหารพม่าคิดว่าพวกกะเหรี่ยงที่อยู่ในถ้ำคงจะตายกันไปหมดแล้ว จึงได้ถอยทัพกลับไป ครั้นพอรุ่งเช้าพวกบรรดากะเหรี่ยงที่ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ก็ออกจากที่ซ่อนในถ้ำมาสังเกตุการณ์ เห็นปลอกกระสุน และลูกปืนตกกระจายอยู่เต็มไปหมด แต่ไม่มีกระสุนแม้แต่เพียงนัดเดียว ที่จะวิ่งผ่านเข้ามาถึงข้างในที่พวกตนซ่อนอยู่ได้ ก็แปลกใจ เลยคิดว่าถ้ำแห่งนี้คงต้องมีของดีของวิเศษเป็นแน่ เลยสำรวจในถ้ำดูว่ามีอะไรดี จึงได้เจอกับ กองพระขนาดย่อม ๆ ที่วางกองกันไว้อยู่ในถ้ำนั้น แต่พวกตนเป็นกะเหรี่ยงคริสต์ จึงไม่ทราบว่าคืออะไร และได้นำมาให้หลวงพ่ออุตตมะดู เมื่อได้พิจารณาดูหลวงพ่อก็ทราบทันทีว่านี่คือ พระยอดขุนพลบุเรงนอง ที่เคยได้ยินเรื่องราวมานั่นเอง จึงได้สั่งให้หัวหน้ากะเหรี่ยงคนนี้ พาคนไปช่วยกันขนพระออกมาจากถ้ำ และนี่เองคือปฐมเหตุแห่งการ แตกกรุ ของ พระยอดขุนพลบุเรงนอง

สำหรับ พระยอดขุนพลบุเรงนอง นี้ ปัจจุบันได้กลายเป็นของดีที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง อันเป็นที่ใฝ่ฝันสำหรับบรรดาศิษย์ใกล้ชิดของ หลวงพ่ออุตตมะ รวมทั้งผู้ที่รู้ประวัติความเป็นมา เพราะนอกจากผู้ที่รู้ความเป็นมาที่แท้จริง ต่างก็พากันหวงสุด ๆ แล้ว ด้วยระยะเวลาที่ล่วงเลยมาเนิ่นนานถึง 400 กว่าปีมาแล้ว พระบุเรงนองที่สร้างด้วยเนื้อดินผสมว่าน ได้ชำรุดแตกหักไปเป็นอันมาก จึงทำให้มีน้อยคนนักที่จะได้ครอบครอง พระยอดขุนพลบุเรงนอง ที่นับเป็นจักรพรรดิ์พระเครื่องแห่งลุ่มแม่น้ำอิระวดีอย่างแท้จริง 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Website -  www.komchadluek.net


 


 





ดูรายละเอียดทั้งหมด -> เมื่อวันที่ : 2023-04-20 21:57:41




ประวัติ พระผงอัฐิ (ผงกระดูกผี) วัดโพธิ์ท่าเตียน

ประวัติ พระผงอัฐิ (ผงกระดูกผี) วัดโพธิ์ท่าเตียน


ประวัติ พระผงอัฐิ (ผงกระดูกผี) วัดโพธิ์ท่าเตียน

ประเภท : พระเครื่อง ข้อมูลพระเครื่อง ประวัติพระเครื่อง

รายละเอียด

พระผงอัฐิ (ผงกระดูกผี) วัดโพธิ์ท่าเตียน พระรุ่นนี้นั้น มีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่
ครั้ง สงครามอินโดจีนกำลังคุกกรุ่น ในช่วงราวๆปี พ.ศ. 2480 กว่าๆ สมัยสงครามอินโดจีน
อันเป็นสงครามระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ที่มีอาณานิคมอยู่ในอินโดจีนนั้น ยุคนั้นทำให้เรา
ได้รู้จักพระเกจิอาจารย์ต่างๆ มากมาย รวมทั้งบรรดาวัตถุมงคลที่วัดหรือสมาคมต่างๆ ได้
สร้างขึ้นมา เพื่อแจกให้ทหารที่ออกรบด้วย

พอเสร็จสงครามอินโดจีน ก็เข้าสู่ยุคของสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุคนั้นก็มีพระเกจิอาจารย์
ต่างๆ อีกหลายท่าน ที่ได้สร้างวัตถุมงคลออกมาด้วย เนื่องจากตอนนั้นไทยได้ทำสัญญา
เป็นมิตรกับญี่ปุ่นอยู่กับฝ่ายอักษะ ทั่วประเทศไทยตอนนั้น จึงมีแต่ทหารญี่ปุ่นมาตั้งฐานทัพ
เต็มไปหมด ประเทศไทยจึงต้องทำสงครามกับฝ่ายพันธมิตรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงทำให้
หลายแห่งในประเทศที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ และเป็นที่ตั้งของกองทัพญี่ปุ่น ถูกเครื่องบิน
ของฝ่ายพันธมิตรทิ้งระเบิดระลอกแล้วละลอกเล่า จนสร้างความเสียหายให้กับสถานที่
และชีวิตผู้คนจำนวนมาก พระเกจิอาจารย์หลายท่านจึงได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นมาแจกจ่าย
ทหาร ตำรวจอาสาสมัคร และประชาชน เพื่อเป็นขวัญ กำลังใจ และเป็นเครื่องรางของขลัง
สำหรับไว้ป้องกันตัว

กำเนิดพระผงอัฐิ วัดโพธิ์ท่าเตียน
วัดโพธิ์ ท่าเตียน หรือที่มีชื่อเป็นทางการว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลราม ก็เป็นสถานที่
แห่งหนึ่งที่ให้กำเนิดพระเครื่องขึ้นมา เพื่อแจกจ่ายให้ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร และ
ประชาชน เพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องรางป้องกันอันตรายจากภัยสงครามในครั้งนั้นด้วย
แต่วัตถุมงคลวัดโพธิ์ ท่าเตียน ไม่ได้มีการสร้างอย่างเป็นทางการแบบที่มีพระเกจิอาจารย์
หลายๆ ท่านมาช่วยกันปลุกเสก โดยเป็นการสร้างวัตถุมงคลโดยพระเกจิอาจารย์
เพียงท่านเดียว และเป็นการสร้างแบบเงียบๆ ค่อยเป็นค่อยไป

พระผงอัฐินี้เป็นพระที่กำเนิดโดย พระอาจารย์หนู แห่งสำนักวัดโพธิ์ ท่าเตียน
ซึ่งท่านพระอาจารย์หนู เป็นเกจิอาจารย์ชาวเขมร สร้างพระรุ่นนี้ขึ้นในราวปี พ.ศ. 2485
โดยสร้างจากผงอัฐิเถ้ากระดูก, ผงพระพุทธคุณ, ผงอิทธิเจและว่านอาถรรพ์ต่างๆ
ว่ากันว่าพระรุ่นนี้นั้น นอกจากห้อยบูชาจะดีเด่นทางด้านคงกระพัน แคล้วคลาดแล้ว
ยังให้โชคในด้านการเสี่ยงการพนันขันต่ออีกด้วย
พระอาจารย์หนู ท่านนี้ก็เป็นพระสงฆ์จากจังหวัดสุรินทร์ มีเชื้อสายเป็นชาวเขมร มีวิชา
อาคมแก่กล้า และเชี่ยวชาญทางวิทยาคมกับไสยศาสตร์มาก การสร้าง
พระเครื่องของท่าน จึงได้ดำเนินการแบบพิสดารผิดไปจากการสร้างพระเครื่องของ
อาจารย์อื่นๆ ท่านไม่เอาวัสดุจำพวกโลหะ ผงวิเศษ หรือดินมาสร้าง แต่ท่านได้นำเอา
ขี้เถ้ากระดูกของคนตาย มาสร้าง การที่ท่านนำเอาขี้เถ้ากระดูกของคนตายมาสร้างพระเครื่อง
ก็คงเป็นเหตุผลของท่านเอง เนื่องจากขี้เถ้ากระดูกของคนตายนี้ ตามหลักของ
วิชาไสยศาสตร์ก็ถือว่าเป็นวัสดุอาถรรพณ์ชนิดหนึ่ง แต่การที่จะเอาขี้เถ้ากระดูกผีของคนตาย
มาสร้างวัตถุมงคลนั้นต้องเป็นคนที่มีวิชาอาคมแก่กล้าถึงจะทำได้ เพราะของแบบนี้ย่อม
มีแรงอาถรรพณ์อยู่ในตัว แต่ขี้เถ้ากระดูกที่พระอาจารย์หนู นำมาสร้างพระเครื่องนั้น
ก็ไม่ได้จำเพาะว่าจะจะต้องเป็นขี้เถ้ากระดูกของคนที่ตายโหง หรือตายวันเสาร์เผาวันอังคาร เท่านั้น
จะเป็นขี้เถ้าของกระดูกของคนตายแบบไหนก็ได้ ซึ่งสมัยนั้นคนตาย นิยมเผากันตามเชิงตะกอน
ในสมัยสงครามก็ยิ่งมีคนตายกันมาก ขี้เถ้ากระดูกของคนตาย จึงสามารถหาได้ง่าย แต่ก่อน
ที่จะเอาขี้เถ้ากระดูกมา พระอาจารย์หนูก็จะทำพิธีพลีกรรม ก่อนทุกครั้งตามวิชาที่ท่านเรียนมา

พระผงกระดูกผี ของพระอาจารย์หนู นอกจากจะสร้างจากขี้เถ้ากระดูกของคนตายแล้ว
พระอาจารย์หนูยังได้เอา ว่านโพง มาบดให้ละเอียดผสมเข้าไปด้วย สำหรับว่านโพงนี้มีชื่อ
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ว่านกระสือ เชื่อกันว่าเป็นว่านที่มีอาถรรพ์และมีอิทธิฤทธิ์มาก มักขึ้นอยู่
ตามป่าลึก หากสัตว์พลัดหลงเข้าไปในป่าลึก บริเวณที่มีว่านอยู่ อาจถูกว่านดูดเลือดกินจนตายไป
ซึ่งว่านชนิดนี้อาจารย์ไสยศาสตร์ที่มีวิชาอาคมชอบเลี้ยงเพื่อไว้เฝ้าบ้าน การเลี้ยงว่านโพง
หรือว่านกระสือ นี้จะเลี้ยงยากกว่าว่านชนิดอื่น อย่างไรก็ตามแม้มวลสารที่ท่านพระอาจารย์หนู
นำมาใช้ในการสร้างพระปิดตานี้ดูจะเฮี้ยนๆ ดูน่ากลัว แต่ท่านได้ทำพิธีพลีกรรมถูกต้อง
ตามตำรับทุกประการ ทำให้ผู้ที่นำมาใช้กลับได้รับคุณอย่างเดียว เรื่องโทษ
ยังไม่เคยปรากฏ และผลที่ได้กลับแปลกคือ แรง และ เร็ว กว่าวัตถุมงคลอีกหลายชนิด
พุทธคุณจะแรงเร็วคล้ายๆกับเครื่องรางของขลัง แต่อย่างไรก็ดีผู้นำมาใช้ถ้ามีโอกาส
เมื่อขอสิ่งใดได้แล้ว ก็ควรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าของเถ้ากระดูกนั้นด้วย

สำหรับประสบการณ์ที่เล่าขานนั้น เป็นที่ประจักษ์แก่ทั้งทหารไทย และทหารญี่ปุ่น
เมื่อสมัยสงคราม จนมีคำเรียกติดปากกันในยุคนั้นว่า "ทหารผี"
ในสงครามเป็นที่กล่าวขาน ว่าทหารไทยโดนยิงล้มแล้วลุกขึ้นมาสู้ใหม่เพราะหนังเหนียว
นอกจากนี้ว่ากันว่าเมื่อบูชาแล้วจะเด่นมากในในด้านความปลอดภัย ป้องกันภัยดี เวลาเดิน
ทางไปไหน จริงๆไปเพียงคนเดียว แต่มีประสบการณ์เล่ากันมาว่า มีคนเห็นว่าเหมือนมีคน
มาหลายๆคน บางคนนั่งรถไปธุระพอลงจากรถมีคนถามว่า อ้าวแล้วคนที่มาด้วยไปไหนแล้วล่ะ..
ส่วนประสบการณ์ด้านอื่นเช่น การเสี่ยงโชคโดยเฉพาะนักเสี่ยงดวงเสี่ยงโชค ก็มักจะ
สำเร็จเหมือนมีคนมาดลจิต ใครชอบของแรงๆ พุทธคุณเด่นชัดเร็วๆก็ต้องบูชา
พระปิดตาสำนักนี้ รับประกันได้ว่าแขวนเดี่ยวประสบการณ์ชัดเจน
มีประสบการณ์ครบสูตรไม่ว่าจะคงกะพัน แคล้วคลาด เมตตามหานิยม

พระผงรุ่นนี้จึงนับว่าเป็นพระผงที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ เป็นของดีของขลัง ที่แรงได้ผล
ประจักษ์รวดเร็ว บางคนว่าได้ผลแรงเร็ว คล้ายๆกับการใช้เครื่องราง จึงเป็นที่นิยมมากขึ้น
ทุกขณะ อีกหน่อยจะหาพบได้ยาก


(ขอขอบคุณท่านเจ้าของข้อมูล)





ดูรายละเอียดทั้งหมด -> เมื่อวันที่ : 2023-04-09 12:20:30




พระครูนิสัยจริยคุณ วิสุทธิ์ ปัญญาธโร (หลวงพ่อโอด) วัดจันเสน นครสวรรค์

พระครูนิสัยจริยคุณ วิสุทธิ์ ปัญญาธโร (หลวงพ่อโอด) วัดจันเสน นครสวรรค์


พระครูนิสัยจริยคุณ วิสุทธิ์ ปัญญาธโร (หลวงพ่อโอด) วัดจันเสน นครสวรรค์

ประเภท : พระเครื่อง ข้อมูลพระเครื่อง ประวัติพระเครื่อง

รายละเอียด

หลวงพ่อโอด วัดจันเสน ท่านเป็นหลานแท้ๆ และเป็นศิษย์ของหลวงปู่เดิม วัดหนองโพ กับหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล จ.นครสวรรค์ ท่านเรียก ลพ.รุ่งและลพ.เดิม ว่า "หลวงลุง" หลวงพ่อโอด เกิดเมื่อวันที่ 28 เดือนธันวาคม 2460 ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2532 สิริอายุ 71 ปี พรรษา 51  ว่ากันว่าหลวงพ่อโอดท่านมีความสมถะเป็นที่สุด

การศึกษาด้านพุทธาคม

ลพ.โอด ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนไสยเวท พุทธาคม จาก
1. ลพ.รุ่ง วัดหนองสีนวล
2. ลพเดิม วัดหนองโพ
3. ลพ.พรหม วัดช่องแค
4. ลพ.เชน วัดสิงห์ สิงห์บุรี


พระเครื่องและวัตถุมงคลของ หลวงพ่อโอด วัดจันเสน ได้เกิดปรากฏการณ์อภินิหารมากมาย มีทั้งพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง




ดูรายละเอียดทั้งหมด -> เมื่อวันที่ : 2018-01-26 12:00:34